อินเดีย (ฮินดูสถาน)
1. อารยธรรมอินเดีย (สมัยประวัติศาสตร์) แบ่งออกเป็น ๙ สมัย ได้แก่ ๑. สมัยอารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ ๒. สมัยพระเวท ๓. สมัยพุทธกาล ๔. สมัยจักรวรรดิเมารยะ ๕. สมัยราชวงศ์กุษาณะ ๖. สมัยจักรวรรดิคุปตะ ๗. สมัยหลังราชวงศ์คุปตะ ๘. สมัยสุลต่านแห่งเดลลี แล้วก็ ๙. สมัยจักรวรรดิโมกุล
2. เรานับ อารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ เป็น อารยธรรมกึ่งก่อนประวัติศาสตร์ เพราะว่า นักโบราณคดีค้นพบตราประทับหลายๆ อัน (ที่นักภาษาศาสตร์ส่วนใหญ่เชื่อว่าเป็นภาษาเขียน) แต่ยังไม่มีใครสามารถอ่านออกได้
3. เราเรียก สมัยพระเวท ว่าเป็น ยุคมหากาพย์ เพราะว่า นอกจากมีคัมภีร์พระเวทแล้ว
ยังมีมหากาพย์รามายณะและมหาภารตะที่เป็นบทประพันธ์มหากาพย์ที่ยิ่งใหญ่อีกด้วย
4. ประเทศไทยเวลานั้น(อาณาจักร ทวารวดี )ได้รับศาสนาพุทธมาจากประเทศอินเดีย(แคว้นต่างๆในดินแดนชมพูทวีป) ซึ่งเกิดขึ้นในสมัยจักรวรรดิเมารยะ
5. ในสมัยราชวงศ์กุษาณะ พระเจ้ากนิษกะ กษัตริ์ย์ผู้ยิ่งใหญ่องค์หนึ่งของประวัติศาสตร์อินเดียได้จัดส่ง สมณทูตไปเผยแผ่ศาสนา พุทธ ที่ประเทศ จีน และ ทิเบต รวมทั้งยังสร้างเจดีย์ใหญ่ที่เมือง ... อีกด้วย
6. ยุคที่เรียกได้ว่าเป็น ยุคทองของอินเดีย คือในสมัย จักรวรรดิคุปตะ เพราะยุคนี้มีความเจริญก้าวหน้าและรุ่งเรืองในทุกๆด้านเลย ได้แก่ การเมืองการปกครอง ศิลปวัฒนธรรม ปรัชญา และ ศาสนา แล้วก็เพิ่มการค้าขายกับที่อื่น ๆ ขึ้นด้วย
7. พระเจ้าอักบาร์ กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งราชวงศ์ โมกุล ( จักรวรรดิโมกุล เป็นราชวงศ์อิสลามและราชวงศ์สุดท้ายของอินเดีย ) เป็นผู้ที่ทะนุบำรุงให้อินเดียมีความเจริญในทุกๆด้าน
8. ในช่วงที่ชาวมุสลิมเชื้อสาย เติร์ก เข้ารุกรานอินเดีย และให้เมืองเดลลีเป็นเมืองหลวง เขาได้บังคับให้มีการเก็บภาษีที่เรียกว่า จิซซา จากประชาชนที่ไม่ได้นับถือศาสนาอิสลาม
9. ช่วงที่อังกฤษเข้ายึดครองอินเดียคือในช่วงปี ค.ศ. 1858 ถึง ปี ค.ศ. 1947 หรือที่เรียกว่า บริติชราชซึ่งมีดินแดน 2 ประเภทคือ บริติชอินเดียและรัฐพื้นเมือง (รัฐมหาราชา) ซึ่งประกอบไปด้วยประเทศ เอเดน พม่า โซมาลิแลนด์ของบริเตน และสิงคโปร์ ในปัจจุบัน
10. หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง อังกฤษได้แบ่งอินเดียออกเป็น 2 ประเทศคือ ประเทศอินเดีย และ ประเทศปากีสถาน ในปัจจุบัน